หลักเกณฑ์และเงื่อนไขของบัญชี Credit Balance Internet
การซื้อขายผ่านบัญชี Credit Balance จะมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แตกต่างจากบัญชีเงินสด ดังนั้นขอให้ท่านนักลงทุนทำการศึกษาหลักเกณฑ์และเงื่อนไขให้เข้าใจก่อนเริ่มทำการซื้อขายด้วย เนื่องจากบัญชี Credit balance จะเป็นการกู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์และ/หรือยืมหลักทรัพย์เพื่อการขายชอร์ตได้ ดังนั้นนักลงทุนจะมีสิทธิและหน้าที่ที่แตกต่างจากบัญชีเงินสด
ลูกค้าที่ต้องการเพิ่มอำนาจซื้อหลักทรัพย์หรือยืมหลักทรัพย์เพื่อขายชอร์ตหลักทรัพย์ที่ยืมในบัญชีเครดิต บาลานซ์จะต้องฝากเงินสดหรือนำหลักทรัพย์ตามประกาศรายชื่อที่กำหนดพร้อมดำเนินการจดแจ้งจำนำหลักทรัพย์ให้เสร็จสิ้นก่อน ระบบจึงจะคำนวณสร้างอำนาจซื้อหลักทรัพย์(Purchasing Power) หรืออำนาจในการขายชอร์ต(Short selling power) ตามสูตรในการคำนวนดังนี้
|
|
|
|
|
Purchasing Power |
= |
Excess Equity / Initial margin required |
|
Excess Equity |
= |
Customer’s Net Equity – Margin required |
|
Customer’s Equity |
= |
Customer’s asset - Debt |
|
Customer’s asset |
= |
Cash balance + Long Market Value |
|
Debt |
= |
Margin loan + Short Market Value |
|
Margin required |
= |
Long market Value * initial margin required |
|
|
|
|
คำอธิบาย
- Customers’ asset หมายถึง ทรัพย์สินของลูกค้าในบัญชี Credit Balance ประกอบด้วย
- Cash balance คือ เงินสดที่ลูกค้าวางไว้ในบัญชีเครดิต บาลานซ์ (Cash balance)
- Long Market Value (LMV) คือ มูลค่าหลักทรัพย์ที่ลูกค้าซื้อและวางเป็นประกันการชำระหนี้และหลักทรัพย์ที่ลูกค้านำมาวางเป็นประกันเพิ่มในบัญชี Credit Balance ซึ่งต้องเป็นหลักทรัพย์ตามประกาศ รายชื่อหลักทรัพย์และอัตรามาร์จิ้นเริ่มต้นสำหรับแต่ละหลักทรัพย์ที่บริษัทฯ อนุญาตให้ลูกค้าซื้อและขายชอร์ตหลักทรัพย์ที่ยืมในบัญชี Credit Balance (Marginable securities list)
- Customer’s liabilities หมายถึง หนี้สินของลูกค้าในบัญชี Credit Balance ประกอบด้วย
- Margin Loan คือ จำนวนเงินที่ลูกค้ากู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ในบัญชี Credit Balance
- Short Market Value(SMV) คือ มูลค่าตลาดของหลักทรัพย์ที่ลูกค้ายืมมาจากบริษัทฯและขายชอร์ตไปในบัญชี Credit Balance แล้ว แต่ยังไม่ได้ทำการซื้อคืน
- Customer’s Equity หมายถึง ทรัพย์สินสุทธิของลูกค้าทั้งหมดในบัญชี Credit Balance ซึ่งคำนวณได้จากสูตรดังนี้
- Customer’s asset – Customer’s liabilities
- (Cash balance + SMV) – (margin loan +SMV)
- Margin Required) คือ ผลรวมของ(มูลค่าหลักประกันหรือหลักทรัพย์ที่ลูกค้ายืมแต่ละรายการ คูณกับ อัตรามาร์จิ้นเริ่มต้นของหลักประกันหรือหลักทรัพย์ที่ลูกค้ายืมรายการนั้น)
- Excess Equity คือ ทรัพย์สินสุทธิส่วนเกินของลูกค้าในบัญชี Credit Balance ซึ่งนำไปใช้คำนวณอำนาจซื้อ(purchasing power ) ให้กับลูกค้า ซึ่งสามารถคำนวณได้จากสูตรดังต่อไปนี้
- Customer’s Equity - Margin Required
- Purchasing power / Short selling power คือ อำนาจในการซื้อ หรือ อำนาจในการขายชอร์ตที่ลูกค้าสามารถมีได้ ณ ขณะใดขณะหนึ่ง ซึ่งสามารถคำนวณได้จากสูตร
- Excess equity (ทรัพย์สินสุทธิส่วนเกินของลูกค้า)/ Initial margin rate of securities to buy (อัตรามาร์จิ้นเริ้มต้นของหลักทรัพย์ที่จะซื้อ)
- Initial Margin (IM) คือ อัตรามาร์จิ้นเริ่มต้นของแต่ละหลักทรัพย์ที่อนุญาตให้ลูกค้าซื้อและขายชอร์ตหลักทรัพย์ที่ยืมในบัญชี Credit balance ซึ่งเป็นอัตราที่กำหนดว่า ลูกค้าต้องวางหลักประกันในสัดส่วนเท่าใดของมูลค่าหลักทรัพย์ที่ต้องการจะซื้อ หรือ ขายชอร์ต ยกตัวอย่างเช่น หาก IM ของหุ้น BLA เท่ากับ 50 หมายความว่า หากลูกค้าต้องการมีอำนาจซื้อหุ้น BLA ได้มูลค่า 1 ล้านบาท ลูกค้าต้องวางหลักประกันด้วยจำนวนขั้นต่ำที่ 50%ของมูลค่าที่ต้องการซื้อ คือ 5 แสนบาท ซึ่งลูกค้าอาจเลือกวางหลักประกันโดยวิธีการฝากเงินสดหรือนำหลักทรัพย์จดทะเบียนมาจดจำนำค้ำประกันก็ได้
- ปัจจุบัน รายชื่อหลักทรัพย์และอัตรามาร์จิ้นเริ่มต้นสำหรับแต่ละหลักทรัพย์ที่บริษัทฯ อนุญาตให้ลูกค้าซื้อและขายชอร์ตหลักทรัพย์ที่ยืมในบัญชี Credit Balance (Marginable Securities List)จะมีหลักทรัพย์ 3 กลุ่มคือ
กลุ่ม 1 กำหนดอัตรามาร์จิ้นเริ่มต้นที่ 50%
กลุ่ม 2 กำหนดอัตรามาร์จิ้นเริ่มต้นที่ 60%
กลุ่ม 3 กำหนดอัตรามาร์จิ้นเริ่มต้นที่ 70%
กลุ่ม 4 กำหนดอัตรามาร์จิ้นเริ่มต้นที่ 80%
กลุ่ม 5 กำหนดอัตรามาร์จิ้นเริ่มต้นที่ 100%
ดังนั้น ตามข้อ 4 จะเห็นว่า อำนาจซื้อ (Purchasing Power) จะแปรผันตามหลักทรัพย์ที่ลูกค้าจะซื้อ
กรณีลูกค้าต้องการซื้อกลุ่ม 1 จะสามารถซื้อได้ 2 เท่าของทรัพย์สินสุทธิส่วนเกิน (Excess Equity)
แต่ หากลูกค้าต้องการซื้อกลุ่ม 3 จะสามารถซื้อได้ประมาณ 1.428 เท่าของทรัพย์สินสุทธิส่วนเกิน (Excess Equity)
แต่ หากลูกค้าต้องการซื้อกลุ่ม 5 จะสามารถซื้อได้ 1 เท่าของทรัพย์สินสุทธิส่วนเกิน (Excess Equity)
-
เนื่องจากหลักประกันที่วางเป็นเงินจะไม่มีมาร์จิ้นที่ต้องการ (Margin Required) ดังนั้นการวางหลักประกันด้วยเงินจะสร้างอำนาจซื้อได้มากกว่าการวางหลักประกันด้วยหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าเท่ากัน และการวางหลักประกันด้วยหลักทรัพย์กลุ่ม 1 จะสร้างอำนาจซื้อได้มากกว่า กลุ่ม 2 เพราะ มีอัตรามาร์จิ้นเริ่มต้นต่ำกว่า
- เนื่องจากลูกค้าสามารถซื้อได้มากกว่าทรัพย์สินที่มีดังนั้นลูกค้า จะต้องรักษาสถานภาพของบัญชี ตามเกณฑ์ของการดำรงหลักประกันที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกำหนดไว้
a. หาก สถานภาพของบัญชี มีอัตรา Maintenance margin น้อยกว่า 35% หรือ 40% (กรณีเป็นการขายชอร์ตหลักทรัพย์ที่ยืม) ลูกค้าจะต้องวางหลักประกันเพิ่มภายใน 5 วันทำการนับจากวันที่ถูกเรียกโดยบริษัทจะมีการแจ้งให้ลูกค้าทราบเป็นลายลักษณ์อักษร หากลูกค้าไม่ดำเนินการวางหลักประกันเพิ่มและสถานภาพยังคงมีอัตรา Maintenance Margin ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดอยู่ ณ วันครบกำหนด จะถูกบังคับขาย หรือ บังคับซื้อคืน ทันที (กรณีเป็นการขายชอร์ตหลักทรัพย์ที่ยืม) ในวันทำการถัดไป กล่าวอีกนัยหนึ่งคือหากลูกค้ามีผลขาดทุนจากการซื้อหลักทรัพย์ราว 25% หรือ มีผลขาดทุนจากการขายชอร์ตราว 8% จะต้องวางหลักประกันเพิ่ม
b. หาก สถานภาพของบัญชี มีอัตรา Maintenance margin เท่ากับหรือน้อยกว่า 25% หรือ 30 % (กรณีเป็นการขายชอร์ตหลักทรัพย์ที่ยืม) ลูกค้าจะต้องวางหลักประกันเพิ่มภายในวันทำการที่ได้รับแจ้งทันที มิฉะนั้นจะถูกบังคับขาย หรือ บังคับซื้อคืน (กรณีเป็นการขายชอร์ตหลักทรัพย์ที่ยืม) ในวันนั้นทันทีเช่นกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือหากลูกค้ามีผลขาดทุนจากการซื้อหลักทรัพย์ราว 35% หรือ มีผลขาดทุนจากการขายชอร์ตราว 15% จะถูกบังคับขายหรือถูกบังคับซื้อคืนฯ
การซื้อหลักทรัพย์ผ่านบัญชี Credit Balance
หลักเกณฑ์และเงื่อนไข
- ลูกค้าสามารถซื้อหลักทรัพย์ตามประกาศรายชื่อหลักทรัพย์และอัตรามาร์จิ้นเริ่มต้นสำหรับแต่ละหลักทรัพย์ที่
บริษัทฯ อนุญาตให้ลูกค้าซื้อและขายชอร์ตหลักทรัพย์ที่ยืมในบัญชี Credit Balanceได้ตามอำนาจซื้อ (Purchasing Power)
- ลูกค้าสามารถซื้อหลักทรัพย์ที่ไม่อยู่ในประกาศรายชื่อหลักทรัพย์และอัตรามาร์จิ้นเริ่มต้นสำหรับแต่ละหลักทรัพย์ที่บริษัทฯ อนุญาตให้ลูกค้าซื้อและขายชอร์ตหลักทรัพย์ที่ยืมในบัญชี Credit Balance ได้ตาม Cash Balance เท่านั้น คือไม่สามารถกู้เพื่อซื้อหลักทรัพย์ดังกล่าวได้ (โดยหากเป็นการซื้อจาก Cash Balance ที่ได้จากการขายชอร์ตหลักทรัพย์ที่ยืมฯ จะทำให้สถานภาพของบัญชีลูกค้าตกต่ำลงจนอาจถูกเรียกให้วางหลักประกันเพิ่มหรือถูกบังคับขายหรือซื้อคืนหลักทรัพย์ที่ขายชอร์ตได้)
การขายหลักทรัพย์ผ่านบัญชี Credit Balance
หลักเกณฑ์และเงื่อนไข
- ลูกค้าสามารถขายหลักทรัพย์ที่มีอยู่ในบัญชีแล้วเท่านั้น
- ลูกค้าที่ต้องการขายชอร์ตจะต้องยืมหุ้นและมีหุ้นที่ยืมฝากอยู่ในบัญชีแล้วเท่านั้น
การถอนเงินจากบัญชี Credit Balance
ลูกค้าที่ต้องการถอนเงินจากบัญชี Credit Balance ที่ฝากกับบริษัทฯจะต้องดำเนินการดังนี้
- แจ้งความประสงค์โดยกรอกรายละเอียดใน Request Form - คำสั่งถอนเงิน
- ลูกค้าสามารถถอนเงินได้สูงสุดตาม Excess Equity (ทรัพย์สินส่วนเกิน) ที่ปรากฎ ณ สิ้นวันทำการก่อนวันที่ทำรายการ และเป็นไปตามเกณฑ์ที่ กลต. กำหนด
- กรุณาแจ้งให้บริษัทฯ ทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วันทำการก่อน 11.30 น. หากพ้นกำหนดนี้ถือเป็นการแจ้งวันถัดไป ยกตัวอย่างเช่น แจ้งในวันที่ 1/2/2024 เวลา 10.00 น.ตามปกติจะได้รับเงินวันที่ 2/2/2024 แต่ถ้าแจ้งเวลา 12.00 น. จะได้รับเงินวันที่ 3/2/2024 อย่างไรก็ตามในกรณีที่ท่านขายหลักทรัพย์ที่จดแจ้งจำนำเป็นหลักประกันในบัญชี Credit Balance ท่านอาจจะได้รับเงินในอีก 2-3 วันทำการถัดไป ทั้งนี้ เป็นไปตามเกณฑ์ที่ กลต. กำหนด
- บริษัทฯ จะดำเนินการโอนเงินหรือส่งมอบเช็คให้ท่านตามเงื่อนไขการรับเงินที่ลูกค้าได้แจ้งไว้กับบริษัทฯ เท่านั้น ซึ่งได้แก่การโอนเงินเข้าบัญชีตามที่ระบุกับบริษัทฯ หรือ เข้าบัญชีประเภทอื่นที่มีกับบริษัทฯ หรือ จ่ายชำระค่าซื้อหลักทรัพย์ในบัญชีเงินสด
หากสถานะของบัญชีท่านมีไม่เพียงพอกับเงินที่ขอถอนบริษัทจะจ่ายเงินให้ท่านมากที่สุดเท่าที่สถานะของบัญชีท่านจะถอนได้หรือท่านอาจจะได้รับเงินล่าช้าไปตามที่กล่าวในข้อ 3
เกณฑ์ในการพิจารณาจำนวนเงินที่ลูกค้าสามารถถอนได้
- ลูกค้าลูกค้าสามารถถอนเงินจากบัญชี Credit Balance ได้สูงสุดเท่ากับทรัพย์สินสุทธิส่วนเกิน (Excess Equity) แต่จะต้องเป็นทรัพย์สินส่วนเกินที่ได้จาก
• เงินที่ลูกค้านำมาวางเป็นหลักประกัน (Cash Balance)
• มูลค่าที่เพิ่มขึ้นของหลักทรัพย์ที่ซื้อในบัญชี Credit Balance
- กรณีที่ลูกค้าถอนเงินเกินกว่ายอดคงเหลือ Cash Balance ที่มีอยู่ ณ ขณะนั้น จะถือเป็นการกู้ยืมเงินจากบริษัทฯ ดังนั้น บันทึกส่วนที่เกินดังกล่าวเป็นการให้กู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Margin Loan) ซึ่งลูกค้าต้องมีภาระเสียดอกเบี้ย
- บริษัทฯอาจมีการสำรองกันเงินของลูกค้าสำหรับดอกเบี้ยจ่ายและค่าธรรมเนียมยืมหุ้นออกจากทรัพย์สินส่วนเกินก่อนอนุญาตให้ถอนก็ได้
ดังนั้นขอให้พึงสังเกตุว่า
- Excess Equity ที่เป็นผลมาจากหลักทรัพย์ที่จดจำนำเพื่อวางเป็นหลักประกันในบัญชี Credit Balance ไม่สามารถถอนเป็นเงินสดได้ แต่คำนวณเป็น Purchasing Power เพื่อใช้ในการซื้อหลักทรัพย์เพิ่มเท่านั้น
- Excess Equity ที่มีค่าขายหลักทรัพย์จดจำนำหรือค่าขายหลักทรัพย์ฝากขายรวมอยู่ด้วย ลูกค้าจะถอนเงินค่าขายหลักทรัพย์ดังกล่าวได้ในวันที่ครบกำหนดรับชำระเงินค่าขายแล้วเท่านั้น (T+2)
สรุปการคำนวณหาทรัพย์สินส่วนเกินสุทธิ (Net Excess Equity) ที่ลูกค้าสามารถถอนเงินได้ :
ทรัพย์สินส่วนเกินของลูกค้า (Excess Equity) ณ วันที่ก่อนวันที่ทำรายการถอนเงิน(T-1) |
|
xxxxx |
|
หัก |
|
|
|
มูลค่าทรัพย์สินส่วนเกินของหุ้นจำนำ |
xxxx |
|
|
ค่าขายหุ้นจำนำ / ฝากขาย ที่ยังไม่ครบกำหนดชำระ |
xxxx |
|
|
ดอกเบี้ยพึงรับจากลูกค้า |
xxx |
|
|
ค่าธรรมเนียมการยืมหลักทรัพย์ |
xxx |
|
xxxxx |
คงเหลือทรัพย์สินส่วนเกินสุทธิที่สามารถถอนเงินได้ |
|
|
xxxxx |
การฝากเงินเข้าบัญชี Credit Balance Internet โดยแจ้งให้บริษัทฯตัดเงินจากบัญชีธนาคารของท่านผ่านระบบ ATS
หลักเกณฑ์และเงื่อนไข
- แจ้งความประสงค์โดยกรอกรายละเอียดใน Request Form – แบบฟอร์มแจ้งการนำเงินเข้าฝากบัญชีธนาคารของบริษัทฯ
- กรุณาแจ้งให้บริษัทฯ ทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วันทำการ ก่อน 11.00 น. หากพ้นกำหนดนี้ถือเป็นการแจ้งของวันถัดไป
- ท่านสามารถใช้อำนาจซื้อได้ในวันทำการถัดไป
ยกตัวอย่างเช่น ท่านส่งคำสั่งฝากเงินในวันที่ 1/2/20/24 เวลา 10.00 น. บริษัทฯจะตัดบัญชีท่านในวันที่ 1/2/2024 และหากบริษัทฯสามารถตัดบัญชีได้ ท่านจะสามารถซื้อหลักทรัพย์ได้ในวันที่ 1/2/2024 แต่ถ้าแจ้งเวลา 12.00 น. ของวันที่ 1/2/2024 ท่านจะสามารถซื้อหลักทรัพย์ได้ในวันที่ 2/2/2024
การถอนหุ้นจากบัญชี Credit Balance
หลักเกณฑ์และเงื่อนไข
- การถอนหุ้นจากบัญชี Credit Balance ลูกค้าสามารถถอนหุ้นได้มูลค่าสูงสุดไม่เกิน Excess Equity (ทรัพย์สินส่วนเกิน) ที่ปรากฎ ณ สิ้นวันทำการก่อนวันที่ทำรายการ (T-1) (โปรดดูคำนิยามของ Excess Equity ที่หน้า 1 )
- ลูกค้าที่ประสงค์จะทำการถอนหุ้นต้องแจ้งให้บริษัทฯทราบโดยกรอกรายละเอียดใน Request Form – คำสั่งโอนหลักทรัพย์ โดยกำหนดให้ถอนเพื่อโอนไปยังบัญชีอื่นของลูกค้าเองที่เปิดกับบริษัทฯเท่านั้น
- หากลูกค้าประสงค์ที่จะถอนหุ้นที่มีมูลค่าเกินจาก Excess Equity ที่มีอยู่ ณ ขณะนั้น ลูกค้าจะต้องชำระเงินตามมูลค่าของ Excess Equity ที่ยังขาดอยู่ จึงจะสามารถถอนหุ้นดังกล่าวออกไปได้ กรณีสถานะของบัญชีท่านมีไม่เพียงพอกับหุ้นที่ขอถอน บริษัทฯจะโอนหุ้นให้ท่านมากที่สุดเท่าที่สถานะของบัญชีท่านจะถอนได้ คำสั่งโอนหลักทรัพย์ ที่มีการดำเนินการไปแล้วแม้จะเป็นจำนวนน้อยกว่าที่ท่านแจ้งความประสงค์ ส่วนที่เหลือลูกค้าจะต้องแจ้งทำรายการใน Request Form – คำสั่งโอนหลักทรัพย์อีกครั้งหนึ่ง หากท่านความประสงค์ที่จะขอถอนอีก (บริษัทฯ จะไม่ดำเนินการต่อจากใบแจ้งฉบับเดิม)
- การถอนหุ้นที่ไม่ถือเป็นหลักประกันได้แก่หลักทรัพย์ที่ ลูกค้าฝากเพื่อขายหรือหลักทรัพย์ที่ไม่อยู่ในรายชื่อหลักทรัพย์และอัตรามาร์จิ้นเริ่มต้นสำหรับแต่ละหลักทรัพย์ที่บริษัทฯ อนุญาตให้ลูกค้าซื้อและขายชอร์ตหลักทรัพย์ที่ยืมในบัญชี Credit Balance (Non-Marginable Securities) ลูกค้าสามารถถอนได้หาก สถานะของบัญชี ณ ขณะนั้นไม่ถูกเรียกให้วางหลักประกันเพิ่ม (Call Margin) โดยจะไม่มีการพิจารณาถึง Excess equity เหมือนกับกรณีถอนหลักทรัพย์ตามที่กล่าวข้างต้น
การนำหลักทรัพย์จดทะเบียนมาวางเป็นหลักประกันในบัญชี Credit Balance
หลักเกณฑ์และเงื่อนไข
- หลักทรัพย์จดทะเบียนที่ลูกค้าสามารถนำมาวางเป็นหลักประกันในบัญชี Credit Balance ได้จะต้องเป็นหลักทรัพย์ที่บริษัทฯ ประกาศรับเป็นหลักประกันซึ่งปรากฎอยู่ในรายชื่อหลักทรัพย์และอัตรามาร์จิ้นเริ่มต้นสำหรับแต่ละหลักทรัพย์ที่
บริษัทฯ อนุญาตให้ลูกค้าซื้อและขายชอร์ตหลักทรัพย์ที่ยืมในบัญชี Credit Balance (Marginable Securities List) โดยแจ้งความประสงค์ใน Request Form – แบบฟอร์มแจ้งจำนำหลักทรัพย์
- ลูกค้าต้องดำเนินการจดแจ้งจำนำหลักทรัพย์ที่ต้องการนำมาวางเป็นหลักประกันฯ ซึ่งบริษัทให้ลูกค้าแจ้งจดจำนำได้เฉพาะหลักทรัพย์ที่ฝากอยู่ในบัญชีเงินสดของลูกค้าแล้วเท่านั้นโดยลูกค้าจะต้องทำการเปิดบัญชีจำนำหลักทรัพย์กับศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ฯ และมีการเซ็นสัญญาจำนำหลักทรัพย์ซึ่งเป็นแบบฟอร์มของบริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด เพิ่มเติมจากแบบฟอร์มแจ้งจำนำหลักทรัพย์ของบริษัทฯ ดังนั้น ขอให้สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Krungsri Capital 0-2638-5500
- เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนการจดแจ้งจำนำแล้ว ลูกค้าสามารถใช้อำนาจซื้อได้ในวันทำการถัดไป
ดอกเบี้ยที่เกี่ยวข้องของบัญชี Credit Balance
ลูกค้าจะได้รับดอกเบี้ยจาก Cash Balance ส่วนที่เกินกว่ามูลค่าหลักทรัพย์ที่ขายชอร์ต แต่จะต้องจ่ายดอกเบี้ยจาก Margin Loan โดยได้รับหรือจ่ายดอกเบี้ยเป็นรายเดือน (โดยจำนวนเงินที่จ่ายให้หรือเรียกเก็บจริงจะหักกลบกันระหว่างดอกเบี้ยรับกับดอกเบี้ยจ่าย) โดยบริษัทฯจะบันทึกดอกเบี้ยประจำเดือนเข้าบัญชี Credit Balance ของลูกค้า ดังนั้น Cash balance จะเพิ่มขึ้นในวันทำการแรกของเดือนถัดไป หากท่านมียอดดอกเบี้ยสุทธิประจำเดือนเป็นดอกเบี้ยรับและสถานะภาพล่าสุดของบัญชีเป็น Cash Balance แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าสถานะภาพล่าสุดของบัญชีเป็น Credit Balance ดอกเบี้ยรับสุทธิดังกล่าวจะเป็นการลดภาระหนี้ (Margin Loan) แต่ถ้าหากดอกเบี้ยสุทธิประจำเดือนของลูกค้าเป็นดอกเบี้ยจ่ายและสถานะภาพล่าสุดเป็น Margin Loan ลูกค้าก็จะมีภาระหนี้ (Margin Loan) เพิ่มขึ้นในวันทำการแรกของเดือนถัดไป ในทำนองเดียวกลับกันถ้าสถานะภาพล่าสุดของบัญชีเป็น Cash Balance ดอกเบี้ยจ่ายสุทธิดังกล่าวจะทำให้ Cash Balance ลดลง
อัตราดอกเบี้ยของ Cash Balance และ Margin Loan จะประกาศให้ทราบเป็นรายเดือนในวันทำการแรกของเดือน โดยอัตราดอกเบี้ยของ Cash Balance และ Margin Loan จะมีผลในวันแรกของเดือนที่ประกาศ
ยกตัวอย่างเช่น บริษัทฯ ประกาศอัตราดอกเบี้ยในวันที่ 1 เมษายน 2567 โดยให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก (Cash Balance) เท่ากับ 2% ต่อปี และ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ฯ (Margin Loan) เท่ากับ 6% ต่อปี หมายความว่า ลูกค้าจะได้รับดอกเบี้ยจาก Cash Balance ในอัตรา 2% ต่อปี และ เสียดอกเบี้ยจาก Margin Loan ตั้งแต่ 1 – 30 เมษายน 2567 ในอัตรา 6% ต่อปี
การซื้อหลักทรัพย์ของลูกค้า ยอดเงินที่ต้องชำระจะหักจาก Cash Balance ก่อนจนกว่าจะหมดแล้วจึงจะมีการบันทึกส่วนที่เกินจาก Cash Balance ของลูกค้าเป็นลูกหนี้ Credit Balance หรือ Margin Loan
การขายหลักทรัพย์หรือขายชอร์ตหลักทรัพย์ที่ยืมก็จะมีการบันทึกเงินที่ได้จากการขายหลักทรัพย์ฯ ไว้ใน Cash Balance หรือลดภาระหนี้ Margin Loan แต่มูลค่าขายชอร์ตหลักทรัพย์ที่ยืมจะถูกหักออกจาก Cash Balance ในการคำนวนดอกเบี้ย