เพิ่มพลังการลงทุนของคุณด้วยบัญชีมาร์จิ้น (Margin Loan) ที่ให้คุณกู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ หรือยืมหลักทรัพย์เพื่อขายชอร์ต เปิดโอกาสให้คุณเข้าถึงการลงทุนได้หลากหลายและทำกำไรที่เหนือกว่า

เกี่ยวกับบัญชีมาร์จิ้น


บัญชีมาร์จิ้น หรือ บัญชีเครดิตบาลานซ์ คือ?

  • บัญชีที่ให้ลูกค้ากู้ยืมเงินเพื่อการซื้อหลักทรัพย์หรือการให้ลูกค้ายืมหลักทรัพย์เพื่อการขายชอร์ต
  • เงินที่บริษัทให้ลูกค้ากู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ เรียกว่า เงินกู้มาร์จิ้น (Margin loan)
  • ลูกค้าต้องวางหลักประกันขั้นต้น (initial margin requirement :IM) จะเป็น เงินสด หรือ หุ้นก็ได้ จึง จะมีอำนาจซื้อเพิ่มขึ้นได้(ใช้เงินกู้ได้) ลูกค้าต้องนำเงินหรือหลักทรัพย์ตามเกณฑ์ที่บริษัทกำหนด มาวางไว้ในบัญชีมาร์จิ้นเพื่อเป็นประกันการซื้อขายหลักทรัพย์ ก่อนที่จะให้ลูกค้าเริ่มซื้อหลักทรัพย์หรือขายชอร์ตจากบัญชีมาร์จิ้นครั้งแรก
  • หุ้นที่ซื้อในบัญชีมาร์จิ้นจะใช้เป็นหลักประกันในบัญชีมาร์จิ้น, และ เงินจากการขายหุ้นจะนำมาชำระยอดเงินกู้ก่อนโดยอัตโนมัติ
  • ลูกค้าต้องดำรงมูลค่าหลักประกัน(Equity) ให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่บริษัทกำหนดฯ มิเช่นนั้นจะถูกเรียกให้วาง หลักประกันเพิ่ม(Margin call) หรือ บังคับขายหุ้น(force sell)

อัตรามาร์จิ้นเริ่มต้น (IM) ของหุ้นคืออะไร

อัตรามาร์จิ้นเริ่มต้น (Initial Margin หรือ IM) คือ อัตราหลักประกันขั้นต้นที่ลูกค้าต้องวางในบัญชีมาร์จิ้นก่อนทำการซื้อหลักทรัพย์ โดยอัตรามาร์จิ้นเริ่มต้นของหลักทรัพย์ที่บริษัทฯ อนุญาตให้ลูกค้าซื้อและขายชอร์ตหลักทรัพย์ที่ยืมในบัญชีมาร์จิ้น ประกอบด้วย 5 กลุ่ม ตามความเสี่ยงของแต่ละหลักทรัพย์

  • กลุ่ม 1 กำหนดอัตรามาร์จิ้นเริ่มต้นที่ 50% (IM = 50%)
  • กลุ่ม 2 กำหนดอัตรามาร์จิ้นเริ่มต้นที่ 60% (IM = 60%)
  • กลุ่ม 3 กำหนดอัตรามาร์จิ้นเริ่มต้นที่ 70% (IM = 70%)
  • กลุ่ม 4 กำหนดอัตรามาร์จิ้นเริ่มต้นที่ 80% (IM = 80%)
  • กลุ่ม 5 กำหนดอัตรามาร์จิ้นเริ่มต้นที่ 100% (IM = 100%)

ดังนั้น จะเห็นว่า อำนาจซื้อ (Purchasing Power) จะแปรผันตามอัตรามาร์จิ้นเริ่มต้นของหลักทรัพย์ที่ลูกค้าจะซื้อ ทั้งนี้

  • กรณีลูกค้าต้องการซื้อหุ้นกลุ่ม 1 จะสามารถซื้อได้ 2 เท่าของทรัพย์สินส่วนเกิน (Excess Equity)
  • หากลูกค้าต้องการซื้อหุ้นกลุ่ม 3 จะสามารถซื้อได้ประมาณ 1.428 เท่าของทรัพย์สินส่วนเกิน (Excess Equity)
  • หากลูกค้าต้องการซื้อหุ้นกลุ่ม 5 จะสามารถซื้อได้ 1 เท่าของทรัพย์สินส่วนเกิน (Excess Equity)

หมายเหตุ ลูกค้าต้องวางเงินสดกับบริษัทฯเต็มจำนวน หากต้องการซื้อหลักทรัพย์นอกเหนือจากที่บริษัทฯกำหนด


ดู IM% ของหุ้น ได้จากที่ใด

ท่านสามารถตรวจสอบจากอัตรามาร์จิ้นเริ่มต้น (IM) ได้จาก ประกาศรายชื่อหลักทรัพย์และอัตรามาร์จิ้นเริ่มต้นสำหรับแต่ละหลักทรัพย์ที่บริษัทฯ อนุญาตให้ลูกค้าซื้อและขายชอร์ตหลักทรัพย์ที่ยืมในบัญชีมาร์จิ้น (หรือ Marginable Securities List) คลิกที่นี่เพื่อดูประกาศ หรือ ตรวจสอบที่โปรแกรมส่งคำสั่งซื้อขาย efin Trade Plus


ทำไมจึงควรใช้ บัญชีมาร์จิ้น หรือ บัญชีเครดิตบาลานซ์ ซื้อหุ้น

หากลูกค้ามีเงินลงทุนมูลค่า 1,000,000 บาท และคิดว่าหุ้น ZZZ ซึ่งมีอัตรามาร์จิ้น 50% กำลังจะเป็นขาขึ้น ลูกค้าสามารถเพิ่มอำนาจซื้อเป็น 2 เท่า โดยใช้เงินกู้จากบริษัทอีก 1,000,000 บาท ทำให้อำนาจซื้อเพิ่มเป็น 2,000,000 จะเห็นว่า หากหุ้น ZZZ ราคาเพิ่มขึ้น 10% ตามที่คิดไว้ จะได้กำไรเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 2 เท่า

ด้วยพลังการลงทุนที่เพิ่มมากขึ้น นักลงทุนที่ใช้มาร์จิ้นจึงมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้น

อ่านบทความ : ทำไมจึงควรใช้มาร์จิ้นซื้อหุ้น?


กลไกที่ช่วยต่อยอดกำไรให้พอกพูน

เมื่อมีกำไรจากพอร์ตการลงทุน นักลงทุนจะมีอำนาจซื้อเพื่อนำไปซื้อหุ้นเพิ่มได้ เพื่อโอกาสได้กำไรเพิ่มมากยิ่งขึ้นอีก ซึ่งถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยขจัดข้อจำกัดของบัญชีเงินสดที่ต้องมีเงินจึงจะลงทุนเพิ่มได้


บัญชีมาร์จิ้น หรือ บัญชีเครดิตบาลานซ์ เหมาะกับนักลงทุนประเภทใดบ้าง

Day trader/ Active trader
สามารถเปิดวงเงินมาร์จิ้น และ SBL โดยเลือกใช้มาร์จิ้นเมื่อคาดว่าหุ้นจะขึ้น เพื่อเพิ่มวงเงินเทรดต่อรอบได้สูงถึง 2 เท่า หรือ ทำการชอร์ตเซลล์เมื่อคาดว่าหุ้นจะลง เพื่อสร้างโอกาสทำกำไรขาลง จึงทำให้มีโอกาสได้ทำกำไรจากการเทรดต่อวันมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น นักลงทุนไม่จำเป็นต้องเสียดอกเบี้ย หากซื้อหุ้นด้วยเงินกู้และขายหุ้นออกภายในวันโดยไม่เหลือหนี้คงค้าง ณ สิ้นวัน

Value investor
เปิดวงเงินมาร์จิ้น ไว้ใช้ซื้อหุ้นของกิจการที่ดี มีโอกาสเติบโตสูงได้ในจำนวนมากขึ้น หรือหากนักลงทุนรับความเสี่ยงได้ต่ำ ก็อาจรอใช้มาร์จิ้นเพื่อเพิ่มอำนาจซื้อหุ้นในภาวะตลาด panic จึงทำให้ได้หุ้นของกิจการที่ชอบในราคาถูกในจำนวนมากขึ้น ทำให้นักลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มมากขึ้นจากทั้ง capital gain และ สิทธิที่จะได้รับเงินปันผลที่มากขึ้น

นักลงทุนที่ไม่ต้องการรับความเสี่ยงจากการกู้
ใช้มาร์จิ้นเพื่อเพิ่มอำนาจซื้อหุ้นที่มีการ tender offer ได้จำนวนมากขึ้น และรอตอบรับการขายหุ้นให้กับผู้ทำที่ tender offer เพื่อรับกำไรส่วนต่างระหว่างราคาที่ประกาศรับซื้อ- ราคาซื้อ ซึ่งเป็นการลงทุนที่แทบจะปราศจากความเสี่ยง ทั้งนี้หากซื้อด้วยเงินตัวเองเพียงส่วนเดียว กำไรที่ได้อาจไม่น่าสนใจเพียงพอ

อ่านบทความ : “บัญชีมาร์จิ้น” เหมาะกับนักลงทุนประเภทใด


ประโยชน์ของบัญชีมาร์จิ้น


ประโยชน์ที่นักลงทุนจะได้จากการใช้ บัญชีมาร์จิ้น

เพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น
เนื่องจากมีเงินลงทุนมากขึ้นจึงมีโอกาสได้ทั้ง Capital gain และเงินปันผลที่มากขึ้น

ไม่พลาดโอกาสทำกำไรแม้หุ้นอยู่ในขาลง ในกรณีที่ลูกค้าเปิดใช้บริการ SBL

วงเงินกู้สะดวกพร้อมใช้ได้ทุกเมื่อ
เมื่อได้รับอนุมัติวงเงินกู้แล้ว นักลงทุนสามารถใช้วงเงินได้ทันทีที่ต้องการ หรือหากยังไม่ต้องการใช้วงเงิน บริษัทก็จะไม่ดำเนินการระงับวงเงินแต่อย่างใด

ไม่ต้องทยอยจ่ายค่างวดเพื่อชำระเงินต้นและดอกเบี้ย
เมื่อใช้เงินกู้มาร์จิ้น ลูกค้าไม่จำเป็นต้องทยอยจ่ายชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นค่างวดเหมือนเงินกู้ประเภทอื่น โดยบริษัทฯจะเรียกเก็บดอกเบี้ยเงินกู้โดยวิธีการกระทบยอดดอกเบี้ยเข้าไปเพิ่มเป็นยอดเงินกู้ในบัญชีของลูกค้าทุกๆสิ้นเดือนโดยอัตโนมัติ ลูกค้าเพียงคอยดูแลมูลค่าหลักประกันให้เพียงพอตามเกณฑ์ที่กำหนดเท่านั้น การใช้เงินกู้มาร์จิ้นจึงช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน และลดภาระการติดต่อด้านการชำระเงินกู้ให้แก่นักลงทุน

ดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำ* และมีความยืดหยุ่นกว่าเงินกู้ประเภทอื่นๆ
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่บริษัทเรียกเก็บต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรม ดังนั้น การใช้เงินกู้มาร์จิ้นของบริษัท จึงช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการลงทุนให้แก่ลูกค้าได้เป็นอย่างดีเมื่อเปรียบเทียบกับการกู้เงินกับที่อื่น นอกจากนี้ บริษัทฯยังให้ดอกเบี้ยเงินฝากสำหรับเงินที่ลูกค้าฝากเข้ามาในบัญชีมาร์จิ้นเพื่อรอซื้อหุ้นในอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์ด้วย
      * เป็นไปตามประกาศอัตราดอกเบี้ยของบริษัท
      * บริษัทฯขอสงวนสิทธิในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้มาร์จิ้น รายชื่อและจำนวนหลักทรัพย์ ที่สามารถซื้อขายโดยใช้มาร์จิ้น ได้ตลอกเวลา โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ลูกค้าทราบเป็นการล่วงหน้าได้ตลอดเวลา

ขจัดความกังวลเรื่องวันครบกำหนดชำระราคาค่าซื้อหุ้น
เพราะบริษัทจะชำระราคาค่าซื้อส่วนที่เกินกว่าเงินของลูกค้าโดยการให้กู้ยืมเงินแก่ลูกค้าโดยอัตโนมัติ


การเรียกวางหลักประกันเพิ่ม


Margin Call หรือ การเรียกวางหลักประกันเพิ่ม

ดำรงมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามเกณฑ์

  • Equity > Call Level (minimum equity)
  • Equity = มูลค่าหุ้นตามราคาตลาด – Margin Loan
  • Call Level (CL) = 35% ของมูลค่าหุ้นตามราคาตลาด
  • Force Sell Level (FSL) = 25% ของมูลค่าหุ้นตามราคาตลาด
  • Margin Call เมื่อ Equity < Call Level โดยต้องเติมหลักประกันให้กลับไปเกินกว่า Call Level
  • Force Sell เมื่อ Equity < Force Sell Level โดยต้องเติมหลักประกันให้กลับไปเกินกว่า Force Sell Level


ดอกเบี้ยที่เกี่ยวข้อง


ดอกเบี้ยที่เกี่ยวข้องของบัญบัญชี Credit Balance

ลูกค้าจะได้รับดอกเบี้ยจาก เงินสด (Cash Balance) ส่วนที่เกินกว่ามูลค่าหลักทรัพย์ที่ขายชอร์ต แต่ จะต้องจ่ายดอกเบี้ยจากภาระหนี้ Margin Loan โดยลูกค้าจะได้รับหรือจ่ายดอกเบี้ยเป็นรายเดือน (หมายเหตุ จำนวนเงินที่จ่ายให้หรือเรียกเก็บจริง จะหักกลบกันระหว่างดอกเบี้ยรับกับดอกเบี้ยจ่าย)

บริษัทฯจะบันทึกดอกเบี้ยประจำเดือน ที่มียอดดอกเบี้ยสุทธิเป็น “ดอกเบี้ยรับ”เข้าบัญชี Credit Balance ของลูกค้า ดังนี้
- ถ้าสถานะล่าสุดของบัญชีเป็น Cash Balance (คือ มีเงินสดคงเหลืออยู่ในบัญชี) และมียอดดอกเบี้ยสุทธิประจำเดือนเป็น “ดอกเบี้ยรับ” จะส่งผลให้ Cash Balance (ยอดเงินสด) ของลูกค้า เพิ่มขึ้น ในวันทำการแรกของเดือนถัดไป
- ถ้าสถานะล่าสุดของบัญชีเป็น Margin Loan (คือ มีภาระหนี้) และมียอดดอกเบี้ยสุทธิประจำเดือนเป็น “ดอกเบี้ยรับ” จะส่งผลให้ลูกค้ามีภาระหนี้ ลดลง ในวันทำการแรกของเดือนถัดไป

บริษัทฯจะบันทึกดอกเบี้ยประจำเดือน ที่มียอดดอกเบี้ยสุทธิเป็น “ดอกเบี้ยจ่าย” เข้าบัญชี Credit Balance ของลูกค้า ดังนี้
- ถ้าสถานะภาพล่าสุดของบัญชีเป็น Margin Loan (คือมีภาระหนี้) และยอดดอกเบี้ยสุทธิประจำเดือนเป็น “ดอกเบี้ยจ่าย” จะส่งผลให้ลูกค้ามีภาระหนี้ เพิ่มขึ้น ในวันทำการแรกของเดือนถัดไป
- ถ้าสถานะภาพล่าสุดของบัญชีเป็น Cash Balance (คือ มีเงินสดคงเหลืออยู่ในบัญชี) และยอดดอกเบี้ยสุทธิประจำเดือนเป็น “ดอกเบี้ยจ่าย” จะส่งผลให้ Cash balance (ยอดเงินสด) ของลูกค้า ลดลง ในวันทำการแรกของเดือนถัดไป

การกำหนดอัตราดอกเบี้ย
อัตราดอกเบี้ยของ Cash Balance และ Margin Loan จะประกาศให้ทราบเป็นรายเดือนในวันทำการแรกของเดือน โดยอัตราดอกเบี้ยจะมีผลในวันแรกของเดือนที่ประกาศ

ยกตัวอย่างเช่น บริษัทฯ ประกาศอัตราดอกเบี้ยในวันที่ 1 เมษายน 2563 โดยให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก (Cash Balance) เท่ากับ 2% ต่อปี และ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ฯ (Margin Loan) เท่ากับ 6% ต่อปี หมายความว่า ลูกค้าจะได้รับดอกเบี้ยจาก Cash Balance ในอัตรา 2% ต่อปี และ เสียดอกเบี้ยจาก Margin Loan ตั้งแต่ 1 – 30 เมษายน 2563 ในอัตรา 6% ต่อปี

เกร็ดความรู้
ในกรณีที่ลูกค้าซื้อหลักทรัพย์ จะหักยอดเงินเพื่อชำระค่าซื้อ จากเงินสดคงเหลือของลูกค้าที่อยู่ในบัญชีมาร์จิ้นก่อน ไปจนกว่าจะหมด (Cash Balance) หากไม่พอชำระค่าซื้อ ส่วนที่เกินมาจากเงินสดคงเหลือ (Cash Balance) จึงจะเป็นเงินกู้ Margin Loan

ในกรณีที่ลูกค้า ขายหลักทรัพย์หรือขายชอร์ตหลักทรัพย์ที่ยืม เงินที่ได้จากการขายหลักทรัพย์ฯ จะแสดงไว้ในรายการเงินสด (Cash Balance) หรือ นำไปลดภาระหนี้ Margin Loan แต่มูลค่าขายชอร์ตหลักทรัพย์ที่ยืมจะถูกหักออกจากรายการเงินสด (Cash Balance) เพื่อใช้ในสำหรับคำนวนดอกเบี้ย


การซื้อ/ขาย


การซื้อหุ้นใน Credit Balance (หรือ บัญชีมาร์จิ้น) ต่างจากซื้อหุ้นบัญชีอื่นๆอย่างไร

ประเภทบัญชี จำนวนเงินที่ลูกค้าฝาก อัตรามาร์จิ้น ราคาตลาดของหุ้น อำนาจซื้อ
(PP)
เงินส่วนของลูกค้า
(EE)
เงินกู้
(Loan)
จำนวนหุ้นที่สามารถซื้อได้
Credit Balance 100,000 50% 220 100,000/50% = 200,000 100,000 100,000 900 หุ้น
Cash Balance 100,000 - 220 100,000 100,000 - 450 หุ้น

ขั้นตอนการซื้อ/ขาย?

  • เปิดบัญชี Margin (Credit balance) คลิกที่นี่
  • ตรวจสอบ IM ของหุ้นที่ต้องการลงทุน และวางหลักประกันตามสัดส่วนที่กำหนด คลิกที่นี่เพื่อดูประกาศ
  • ส่งคำสั่งซื้อหุ้นตามมูลค่าที่ต้องการ โดยบริษัทฯจะจัดสรรเงินกู้ให้กับลูกค้าสำหรับค่าซื้อส่วนที่เกินกว่าเงินที่วางไว้โดยอัตโนมัติ
  • ดำรงมูลค่าหลักประกันให้เพียงพอตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด

หมายเหต โปรดศึกษารายละเอียดและเงื่อนไขต่างๆเพิ่มเติม จาก หลักเกณฑ์และเงื่อนไขของบัญชี Credit Balance Internet



คำถามที่พบบ่อย


⏵ โปรแกรมส่งคำสั่งซื้อขายที่ใช้ในการส่งคำสั่งซื้อขายด้วยบัญชีมาร์จิ้น ?

ท่านสามารถดาวน์โหลดและใช้งานโปรแกรม eFinTrade Plus/Streaming ในการส่งคำสั่งซื้อขาย เพื่อใช้บริการบัญชี มาร์จิ้น

ดาวน์โหลดโปรแกรม และ คู่มือการใช้งาน คลิกที่นี่

Version eFin Trade Plus Streaming
PC
Mobile Application

หมายเหตุ การ Login ผ่าน Mobile Application ต่างๆ จะต้องเลือก Broker เป็น KRUNGSRI

⏵ การ Login เข้าสู่ระบบซื้อขาย ?

  • Username : คือรหัสผู้ใช้บริการ ใช้ในการเข้าสู่ระบบ ไม่สามารถปลี่ยนแปลงได้
  • Password : คือรหัสผ่าน ที่ใช้ในการเข้าสู่ระบบ สามารถเปลี่ยนได้ในเมนู หลัง Login
  • PIN : คือรหัสที่ใช้ในการส่งคำสั่งซื้อขายผ่านระบบ และเป็นตัวเลข 6 หลักเท่านั้น ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในเมนู หลัง Login

⏵ เมื่อจำรหัสผ่านไม่ได้ หรือ "ลืมรหัสผ่าน" ทำอย่างไร ?

  • กรณีลืมรหัสผ่าน ท่านสามารถขอรหัสใหม่ด้วยตนเอง (Forgot password) ได้ที่หน้าแรกของเว็บไซต์ https://www.krungsrisecurities.com คลิกที่เมนู "ลืมรหัสผ่าน?
  • ⏵ ส่งคำสั่งซื้อขายได้ช่วงเวลาใด

  • เหมือนการส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นปกติ เฉพาะคำสั่ง short หุ้นที่ส่งคำสั่งได้เฉพาะเวลาตลาดเปิดทำการเท่านั้น (Open I และ Open II)
  • ⏵ การส่งคำสั่งซื้อขายในบัญชีเครดิตบาลานซ์ต้องดูอะไรบ้าง

    • ตรวจสอบ IM (50% 60% 70% 80% 100%) ของหุ้นที่ต้องการลงทุน และวางหลักประกันตามสัดส่วนที่กำหนด (2)
    • ส่งคำสั่งซื้อหุ้นตามมูลค่าที่ต้องการ โดยบริษัทฯจะจัดสรรเงินกู้ให้กับลูกค้าสำหรับค่าซื้อส่วนที่เกินกว่าเงินที่วางไว้โดยอัตโนมัติ (3)

    ⏵ จะดูสถานะ Call / Force Margin ได้จากที่ใด

  • 1. ท่านสามารถตรวจสอบสถานะ Call / Force ของบัญชีมาร์จิ้น ได้จากโปรแกรม eFin Trade Plus หน้าจอ Portfolio บริเวณ Call & Force (3)ตามภาพด้านล่างนี้
  • 2. ท่านสามารถตรวจสอบสถานะ Call / Force ของบัญชีมาร์จิ้น ได้จากหน้าจอ Portfolio บนเว็บไซต์ www.krungsrisecurities.com บริเวณ Call & Force (2)ตามภาพด้านล่างนี้
  • ⏵ จะดูอัตรามาร์จิ้น ได้จากที่ใด

  • ท่านสามารถดูประกาศอัตรามาร์จิ้น ผ่านเว็บไซต์ คลิกที่นี่เพื่อดูประกาศ
  • ⏵ แหล่งความรู้อื่นๆ


    To Top